เพื่อการนี้ ก่อนอื่นจำเป็นต้องกำหนดว่า “จะบำรุงรักษาอย่างไร” ในการบำรุงรักษาเครื่องจักร ทรัพยากร นั่นคือ เงิน คน เป็นต้น เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แล้วจึงกำหนดงบประมาณ ดำเนินการตาม “แผนการ” นั้น และในการ “ประเมิน” ให้วิเคราะห์ผลต่างของงบประมาณ เพื่อเชื่อมโยงสู่งบประมาณครั้งถัดไป อันเป็นการหมุนตามวงจร PDCA ประเมินผลของกิจกรรม คือ ผลงาน เช่น สภาพการรักษาเครื่องจักร ความถี่ในการขัดข้อง เวลาซ่อม แล้วใช้สิ่งเหล่านี้ในการพิจารณาจัดทำแผนการของปีถัดไป การจะจัดทำแผนการได้ ต้องมีการกำหนดระบบการบำรุงรักษาอย่างเป็นรูปธรรม และจำเป็นต้องสามารถประเมินราคาของงานบำรุงรักษาและการตรวจสอบแต่ละอันได้ เพราะเกี่ยวข้องกับคนและองค์กรจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีแนวคิดของการบำรุงรักษาตามทฤษฎี
★ “มองเห็น” Know-how การบำรุงรักษา “มองเห็น” PDCA
การบำรุงรักษาเครื่องจักร มีทั้งแง่มุมของ “การจัดการการบำรุงรักษา” แง่มุมของ “เทคโนโลยีเฉพาะด้าน” และยังมีแง่มุมของ “ทักษะ” ด้วย บริษัทจำเป็นต้องมีความเพียบพร้อมครบทั้ง 3 แง่มุมนี้ แต่ไม่ว่าแง่มุมไหน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะสามารถเขียนออกมาได้หมด มักจะอยู่ในรูปแบบของ know-how สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ “มองเห็น” ว่าอะไรคือ know-how และจำเป็นต้องดำเนินการไคเซ็นโดยทุกคนช่วยกันยกระดับให้ดีขึ้น
ในกิจกรรมจริง ทุกอย่างต้องประกอบกันจาก PDCA “วางแผน➱ปฏิบัติ➱ประเมิน➱ปรับปรุง” สิ่งสำคัญคือต้องทำให้มองเห็นวงจรนี้ เพราะมองเห็นจึงรู้ถึงปัญหาและเกิดการไคเซ็น จากการที่ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาจนถึงผู้ปฏิบัติงานหน้างานแถวหน้ามองเห็นได้ทำให้เข้าใจได้ว่าอะไรคือปัญหา อีกทั้งยังจำเป็นต้องทำให้ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานแถวหน้าเข้าใจในแนวคิดของเบื้องบนได้
โครงสร้างการบำรุงรักษาที่กล่าวมาข้างต้น ยืนอยู่ได้ด้วยวงจร PDCA มากมาย และองค์กร-คนจำนวนมากที่ดูแล การที่ PDCA แต่ละอันนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและหมุนตามวงจรอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้วงจรการบำรุงรักษาหมุนได้ด้วย
★ ความจำเป็นของการบำรุงรักษาตามทฤษฎี และมีแผนการเป็นตัวนำ
การบำรุงรักษาตามทฤษฎี คือ ตรรกะที่ว่า “การบำรุงรักษาอย่างประหยัดเพื่อไม่ให้เครื่องจักรเกิดการขัดข้องทางฟังก์ชันโดยคิดจากวิทยาศาสตร์แห่งการขัดข้อง” เพื่อรักษาเครื่องจักรให้สมบูรณ์ สุดท้ายก็คือ จำเป็นต้องมีการกำหนดระบบการบำรุงรักษาตามทฤษฎีต่อ “ความเสี่ยงในการขัดข้อง” อีกทั้งไม่ใช้แค่ know-how ที่มาจากความรู้สึกหรือประสบการณ์ของคนคนนั้น แต่เป็น “การบำรุงรักษาเครื่องจักร” ตามเทคโนโลยี
หากบำรุงรักษาโดยไม่มีรากฐานจากระบบตามทฤษฎี การบำรุงรักษานั้นจะเป็นไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล และไม่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มีการปฏิบัติงาน เช่น
- การตรวจเช็คของผู้ปฏิบัติงานเดินเครื่อง และการตรวจเช็คของช่างซ่อมบำรุงหรือบริษัทภายนอกซ้ำซ้อนกัน
- ทำการตรวจเช็คหรือมีการเปลี่ยน ซ่อมแซมชิ้นส่วนด้วยรอบเวลาที่สั้นเกินความจำเป็น
- ทั้งที่สภาพเครื่องจักรยังดี แต่มีการถอดเปิดตรวจเช็คตามการตรวจสอบตามรอบ
ความสำคัญของการกำหนดการบำรุงรักษาบนแนวคิดตามทฤษฎีนี้ เป็นดังนี้ (ผังที่3-1)
ผังที่ 3-1 ความจำเป็นของการทำ “ตามทฤษฎี” “ตามแผนการ”
1. การหมุนตามระบบการบำรุงรักษาเครื่องจักร
เครื่องจักรและชิ้นส่วนมีเส้นโค้งการขัดข้องที่หลากหลายตามลักษณะพิเศษเฉพาะหรือวิธีการใช้งาน จึงมีกลไกการขัดข้องที่มีลักษณะพิเศษของแต่ละตัว ต่อกลไกการขัดข้องที่มีลักษณะพิเศษเหล่านี้จำเป็นต้องเลือกระบบการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพและประหยัด ระบบการบำรุงรักษาที่ถูกต้องแล้ว ต้องศึกษาว่าเกิดการขัดข้องอย่างไร และระดับผลกระทบเมื่อเกิดว่าเป็นอย่างไร แล้วจึงเลือกระบบที่จะป้องกันการเกิดนั้นและมีผลกระทบน้อยที่สุด ด้วยพื้นฐานนี้จึงมาทำการเลือกการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมว่า ใคร ทำวิธีไหน เมื่อไร อย่างเป็นไปตามทฤษฎี
กิจกรรมทั้งหลายนี้ เริ่มจากวิทยาศาสตร์แห่งการขัดข้อง แล้วจึงกำหนดค่าบำรุงรักษา เพื่อให้เกิดการหมุนตามวงจร PDCA ได้อย่างต่อเนื่อง การพิจารณาที่พื้นฐานทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ นั่นก็เพราะ จุดที่จะมาบรรจบกันของ “เทคโนโลยีเครื่องจักร” และ “กิจกรรมการบริหาร” อยู่ตรงนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหาร หน่วยงานควบคุมการวางแผนบำรุงรักษา หน่วยงานผลิต และหน่วยงานดำเนินการบำรุงรักษา เป็นต้น ต้องแบ่งปันข้อมูล สร้างโครงสร้างที่สามารถร่วมมือกัน ก็จะทำให้การบำรุงรักษามีพัฒนาการไปได้ และเป็นที่มาของการยกระดับกลไกทั้งหมดให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น
2. โครงสร้างการบำรุงรักษาที่ทุกคนมีส่วนร่วม
เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างเต็มความสามารถและมั่นคง ต้องมีปัจจัยต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี ทักษะ การจัดการ และทุกอย่างต้องพร้อมเพรียงจึงจะบริหารจัดการเครื่องจักรได้ดี และเนื่องจากมีบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เพื่อให้เครื่องจักรทำงานอย่างราบรื่น บุคคลหรือหน่วยงานเหล่านั้นจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างการบำรุงรักษาเครื่องจักรให้ได้เหมือนกันทุกคน เพื่อการนี้แนวคิดอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็คือโปรแกรมการบำรุงรักษาเครื่องจักรตามทฤษฎี ยิ่งไปกว่านั้น “การเดินเครื่องอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติงานอย่างถูกต้อง” ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อคิดถึง “ความครอบคลุม” ของการจัดการ การควบคุมในระดับชิ้นส่วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และจำเป็นต้องควบคุมหลายประการมาก ดังนั้น การบำรุงรักษาเครื่องจักรจะดำเนินการแต่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครื่องจักรไม่ได้ แนวคิดการบำรุงรักษาเครื่องจักรต้องเข้าใจโดยพนักงานทุกคนที่สังกัดอยู่ในบริษัท และทุกคนต้องรู้และเข้าใจในความจำเป็นในการบำรุงรักษาเครื่องจักรโดยระดมคนทั้งหมด เพื่อการนี้ การแบ่งปันแนวคิดรากฐานทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ จำเป็นต้องเข้าใจการบำรุงรักษาในทุกงานทุกระดับชั้น
ไม่มีบริษัทที่ไม่ทำการบำรุงรักษาเลย ตราบใดที่มีการผลิต ไม่ว่าจะมีจิตสำนึกหรือไม่มี ก็ต้องทำการบำรุงรักษาเครื่องจักรแบบใดแบบหนึ่ง โดยทั่วไป เนื่องจากกิจกรรมการบำรุงรักษามีหลายแบบหลายอย่าง และมีหน่วยงาน-คนมากมายเกี่ยวข้อง ในตอนนั้น แต่ละคนไม่ว่าจะมีจิตสำนึกว่าเป็น “การบำรุงรักษาเครื่องจักร” หรือไม่ จำเป็นต้องทำการบำรุงรักษาเครื่องจักรโดยทุกคน อีกทั้ง ช่างซ่อมบำรุงก็มีการโยกย้ายหรือการผลัดเปลี่ยนรุ่นตามอายุ จำเป็นต้องมีการสืบทอดเพื่อสั่งสมเทคโนโลยีและทักษะในการบำรุงรักษา เพื่อการผลัดเปลี่ยนคนเช่นนี้ก็ยิ่งจำเป็นต้องสร้างการบำรุงรักษาเครื่องจักรตามทฤษฎี
เรียบเรียงโดย อาจารย์ณรงค์เกียรติ นักสอน
ที่ปรึกษา TPM-JIPM